วันอังคาร, พฤศจิกายน ๒๑, ๒๕๔๙

โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน​เป็น​โรคที่​ผู้​คน​ส่วน​ใหญ่​รู้จัก​กัน​พอควร​ ​แต่​ผู้​ป่วย​ส่วน​ใหญ่​ยัง​ไม่​ทราบ​ ​ความ​สำ​คัญของการรักษา​โรคนี้นัก​ ​แพทย์​เองก็​ไม่​ได้​ให้​ความ​สำ​คัญ​กับ​การรักษา​ ​ผู้​ป่วยเบาหวาน​เป็น​อย่างดี​ ​แพทย์หลายๆ​ท่านรักษา​เบาหวาน​ ​เฉพาะ​เพียงลดระดับ​ ​น้ำ​ตาล​ใน​เลือด​เท่า​นั้น​ แต่​ความ​จริง​แล้ว​ ​โรคเบาหวาน​ ​ไม่​ใช่​แค่ระดับน้ำ​ตาล​ใน​เลือดสูง​ ​เท่า​นั้น​ ​แต่​เป็น​โรคร้าย​ ​ที่หาก​ไม่​ได้​รับดู​แลอย่างดี​แล้ว​ ​จะ​เกิดผลเสียตามมามากมาย​ ..... ​หมอโรคหัวใจ​ ​และ​ ​หมอโรคไต​ ​ทราบดี​ ​เพราะ​ผู้​ป่วยโรคหัวใจ​ ​และ​ ​ไตวายเรื้อรัง​ส่วน​ใหญ่​ ​เป็น​เบาหวาน

โรคเบาหวาน​เป็น​ความ​ผิดปกติ​เนื่อง​จาก​ร่างกาย​ไม่​สามารถ​นำ​น้ำ​ตาล​ใน​ร่างกายไป​ใช้​ได้​อย่างเต็มที่​ ​สา​เหตุ​เนื่อง​จาก​ขาดฮอร์​โมน​ ​อินซูลิน​ ​หรือ​ ​ไม่​ขาดฮอร์​โมน​ ​แต่ร่างกาย​ไม่​ตอบสนองต่อ​ ​ฮอร์​โมนตัวนี้​ ​ผลที่ตามมาคือระดับน้ำ​ตาล​ใน​เลือดสูงกว่าปกติ​ ​ปัจจุบัน​ ​หากระดับน้ำ​ตาล​ ​ใน​เลือดที่​เจาะหลังงดอาหาร​ 6 ​ชั่วโมง​แล้ว​ ​ยัง​สูงกว่า​ 126 ​มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร​ ​เราก็​เรียก​ได้​ว่า​เป็น​ "​โรคเบาหวาน" ​ได้​แล้ว​ครับ​

​ระดับน้ำ​ตาลที่สูงนี้​เป็น​ตัวการสำ​คัญที่ทำ​ให้​เกิดปัญหา​ ​ต่างๆ​ตามมา​ ที่สำ​คัญคือ​เป็น​ตัว​ ​การเร่ง​ให้​เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดแดง​ทั่ว​ร่างกาย ​ทั้ง​หลอดเลือดแดงที่​เลี้ยง​ ​สมอง​ ​หัวใจ​ ​ตา​ ​ไต​ ​แขน​-​ขา​ ​รวม​ทั้ง​ ​หลอดเลือดแดง​เล็กๆ​ที่​เลี้ยง​ ​ปลายประสาทอีก​ด้วย​ ​ทำ​ให้​เกิดการตีบตันของหลอดเลือดแดงเหล่านี้​ ​ดัง​นั้น​จะ​เห็นว่า​ "​โรคเบาหวาน" ​เป็น​ปัจจัยเสี่ยงที่สำ​คัญต่อ​ ​โรคทางสมอง​ ​อัมพาต​ ​โรคระบบประสาท​ ​โรคหัวใจ​ ​โรคไต​ ​โรคตา​ ​แม้กระทั่งโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ​ ​หรือ​ ED ​ด้วย​

หลักสำ​คัญ​ใน​การรักษา​ผู้​ป่วยเบาหวาน​ ที่​ผู้​ป่วยควรทราบ

* ควบคุมระดับน้ำ​ตาล​ใน​เลือด​ให้​อยู่​ใน​เกณฑ์ปกติ​ให้​มากที่สุดตลอดเวลา​ ​การที่​จะ​ ​ทำ​เช่น​นั้น​ได้​ ​ต้อง​อาศัย​ความ​ร่วมมืออย่างมาก​จาก​ผู้​ป่วย​ ​ญาติ​ผู้​ป่วย​ (ประ​เภทหวังดี​ ​ซื้อของมา​ให้​รับประทาน​ ​หรือ​ ​ให้​คำ​แนะนำ​ผิดๆ​) ​โดย​การควบคุมอาหารอย่างเคร่ง​ ​ครัด​ ​รับประทานยาตามสั่ง​ ​ออกกำ​ลังกายตามสมควร​ ​ลดน้ำ​หนัก​ ​หากยา​ไม่​ได้​ผลดีก็​ ​จำ​เป็น​ต้อง​ฉีดอินซูลิน
* หากมี​ความ​ดันโลหิตสูงก็จำ​เป็น​ที่​จะ​ต้อง​ลด​ความ​ดันโลหิต​ให้​น้อยกว่า​ ​หรือ​ ​ใกล้​เคียง​ 130/80 ​มม​.​ปรอท​ ​ทั้ง​นี้​ต้อง​ไม่​มีผลแทรกซ้อน​จาก​ยาลด​ความ​ดันโลหิต​ด้วย​ ​จะ​สามารถ​ ​ป้อง​กัน​ ​หรือ​ ​ชลอภาวะ​ไตวาย​ได้
* ลดไขมันคอเลสเตอรอล​ใน​เลือดลงมากๆ​ ​โดย​ใช้​ค่า​ LDL-Cholesterol ​เป็น​เกณฑ์​ ​ให้​ LDL-C ​น้อยกว่า​ 100 ​มก​./​ดล​. ​เทียบ​เท่า​ผู้​ที่มี​โรคหัวใจ​อยู่​ ​เนื่อง​จาก​ผู้​ป่วย​ ​เบาหวานแทบทุกรายมีการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจซ่อน​อยู่​ด้วย​ ​การลดระดับ​ ​ไขมัน​ใน​เลือดลงมากๆ​ (Cholesterol) ​จะ​ช่วย​ลดปัญหา​แทรกซ้อนทางหัวใจลง​ ​ปัจจุบันยาที่​ใช้​ลดไขมันคอเลสเตอรอล​ได้​ดีมากที่สุด​ ​คือ​ ​ยากลุ่ม​ statins
* แนะนำ​ให้​ผู้​ป่วยพบจักษุ​แพทย์ทุก​ 6 ​เดือน​ ​เพื่อป้อง​กัน​ตาบอด​จาก​เบาหวานขึ้นตา​ ​จอประสาทตา​เสื่อม
* แนะนำ​ให้​ผู้​ป่วยดู​แลตนเองที่บ้าน​ ​อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง​ ​การดู​แลเท้า​ ​ผิวหนัง​ (โอกาสเกิดแผลที่​เท้า​ ​และ​ ​ทำ​ให้​ต้อง​ตัดเท้าพบ​ได้​บ่อยๆ​)

จะ​เห็นว่า​ ​การรักษา​โรคเบาหวาน​ ​ไม่​ใช่​แค่การไปเจาะ​เลือด​ ​ดูน้ำ​ตาล​ใน​เลือด​ ​แล้ว​จัด​ ​ยา​เฉยๆ​ ​แต่การรักษา​เบาหวานที่​ได้​มาตรฐาน​ ​จะ​เป็น​การดู​แล​ผู้​ป่วยทุกระบบ​ ​โดย​หวัง​ ​ว่าการดู​แลอย่างดี​ ​จะ​ช่วย​ป้อง​กัน​ผลแทรกซ้อนที่ร้ายแรง​จาก​เบาหวาน​ได้​ ​เช่น​ ​อัมพาต​ ​ไตวาย​ ​ตาบอด​ ​กล้ามเนื้อหัวใจตาย​ ​เป็น​ต้น​ การรักษา​เบาหวาน​ให้​ดี​ ​จึง​ไม่​ใช่​เรื่อง​ "หมูๆ​" ​หรือ​ "หวานๆ​" ​อย่างที่คิด

Vitamin E

คาดว่า​แทบทุกท่านคงเคย​ได้​ยินโฆษณา​เกี่ยว​กับ​คุณสมบัติครอบจักรวาลของ​ Vitamin E ​กัน​มาบ้าง​แล้ว​ ​เช่น​ ​ป้อง​กัน​เซลเสื่อม​ ​ป้อง​กัน​ “​แก่​” ​ลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า​ ​บำ​รุงผิวพรรณ​ ​ต้านมะ​เร็ง​ ​ไปจน​ถึง​ป้อง​กัน​โรคหัวใจ​ ​บท​ความ​นี้​จะ​เน้นเกี่ยว​กับ​ผล​ ​ของการเสริม​ Vitamin E ​ใน​ผู้​ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด

โรคหัวใจขาดเลือดเกิด​จาก​การที่มี​ไขมันคอเลสเตอรอลสะสม​อยู่​ใน​ผนังหลอดเลือด​ ​ความ​เป็น​จริง​แล้ว​การสะสมของ​ ​ไขมันนี้​ ​เกิด​จาก​หลายๆ​ ​ปัจจัยประกอบ​กัน​ ​แต่ปัจจัยหนึ่งที่สำ​คัญคือไขมันคอเลสเตอรอลชนิดร้าย​ ​หรือ​ LDL- Cholesterol ​ใน​ชั้น​ ​ผนังหลอดเลือด​ ​ทำ​ให้​หลอดเลือดตีบ​ ​ไขมันนี้ปกติ​อยู่​ใน​กระ​แสเลือด​ ​การที่​จะ​เข้า​ไปสะสม​อยู่​ ​ใน​ผนังหลอดเลือด​ได้​นั้น​ ไขมันชนิดนี้​ ​จะ​ถูกขบวนการ​ “​อ็อกซิ​เดชั่น​” ​ก่อน​ (Oxidation) ​จึง​เข้า​ไปสะสม​ได้​ Vitamin E ​มีคุณสมบัติ​เป็น​ตัวต้านขบวนการอ็อกซิ​เดชั่น​ (Anti-Oxidant) ​จึง​มี​ผู้​ศึกษาผลของ​ Vitamin E ​ใน​ผู้​ป่วยโรคหัวใจ​ ​โดย​ ​หวังว่าการเสริม​ Vitamin E ​จะ​ช่วย​ต้านการสะสมของ​ ​ไขมัน​ LDL-Cholesterol ​ใน​ผนังหลอดเลือด​ ​เป็น​ผลป้อง​กัน​ ​โรคหัวใจ​ ​หรือ​ ​ลด​ความ​รุนแรงของโรคลง​ ​สารที่มีคุณสมบัติ​เป็น​ Anti-Oxidant ​นอก​จาก​ Vitamin E ​แล้ว​ ​ยัง​มีสาร​อื่นๆ​อีก​ ​เช่น​ Vitamin C , Beta-carotene

Vitamin E ​ช่วย​ป้อง​กัน​โรคหัวใจ​หรือ​ไม่

ตามหลักการ​แล้ว​ก็น่า​จะ​เป็น​เช่น​นั้น​ ​แต่​ใน​โลกแห่ง​ความ​เป็น​จริง​แล้ว​ ​ร่างกายคนเราซับซ้อนเกินกว่าที่​จะ​เข้า​ใจง่ายๆ​ ​เช่น​นั้น​ 1+1 ​ไม่​ได้​เป็น​ 2 ​เสมอไป​ ​การศึกษา​เกี่ยว​กับ​ Vitamin E ​กับ​โรคหัวใจมีมานาน​แล้ว​ ​ใน​ระยะ​แรกๆ​พบว่า​ ​ผู้​ป่วยโรคหัวใจ​ส่วน​หนึ่งมีระดับ​ Vitamin E ​ต่ำ​กว่าปกติ​ ​และ​มีหลาย​ ​การศึกษาชี้​ให้​เห็นว่าการเสริม​ Vitamin E ​จะ​ช่วย​ป้อง​กัน​โรคหัวใจ​ ​แต่อย่างไรก็ตาม​ ​การศึกษา​ ​เหล่า​นั้น​เป็น​การศึกษาย้อนหลัง​ ​หรือ​ ​การศึกษา​เปรียบเทียบ​ ​ย้อนหลัง​ ซึ่ง​การศึกษาชนิดนี้มีข้อจำ​กัดมาก​ ​ทำ​ให้​ความ​น่า​ ​เชื่อถือลดลงมาก

​การศึกษาที่ดีกว่า​และ​ถือว่ายอบรับ​ได้​มากที่สุด​ ​คือ​ ​การศึกษา​เปรียบเทียบ​ ​ระหว่างผลของยาจริง​ ​กับ​ ​ยาหลอก​ ​โดย​การสุ่ม​ ​ผู้​ถูกศึกษา​ ​และ​ ​ผู้​ศึกษาต่างก็​ไม่​ทราบว่า​ได้​รับยาจริง​ ​หรือ​ ​ยาหลอกจนกว่า​จะ​เสร็จสิ้นการศึกษา​ ​เป็น​การ​ ​ตัดอคติ​จาก​การ​ ​ทดลองลง​ ​การศึกษา​แบบนี้​เรียก​ Randomized Double Blind Placebo Control

ปัจจุบันมีการศึกษา​แบบ​ Randomized Double Blind Placebo Control ​เพื่อดูผลของ​ Vitamin E ​ใน​ผู้​ป่วย​ ​โรคหัวใจ​ ​การศึกษา​ ​แรกมา​จาก​ Cambridge (ตีพิมพ์​ใน​ปีคศ​.1996) ​เป็น​การศึกษา​ใน​ผู้​ป่วยที่​เป็น​โรคหัวใจ​อยู่​แล้ว​ 2,002 ​คน​ ​ใน​จำ​นวนนี้​ 1,035 ​คน​ได้​รับ​ Vitamin E ​ขนาด​ 400-800 IU ​ต่อวัน​ ​และ​ 967 ​คน​ได้​รับยาหลอก​ ​ติดตาม​ผู้​ป่วยไปประมาณ​ 1 ​ปีครึ่ง​ พบว่า​ผู้​ที่​ได้​รับ​ Vitamin E ​เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย​ ​หรือ​ Heart attack ​น้อยกว่ากลุ่มยาหลอกอย่างมาก​ ​ผลนี้​เริ่มเห็น​ได้​เมื่อ​ ​รับประทาน​ Vitamin E ​อย่างน้อย​ 1 ​ปี​ ​แต่อย่างไรก็ตามพบว่า​แม้​จะ​ลด​ Heart attack ​ลง​ ​แต่อัตราตาย​จาก​ ​โรคหัวใจ​ไม่​ได้​ลดลงเลย ​พูดง่ายๆ​คือ​ Vitamin E ​ใน​ผู้​ป่วยโรคหัวใจ​ไม่​ได้​ทำ​ให้​อายุยืนยาวขึ้นนั่นเอง​

​การศึกษาต่อมา​ ​เพิ่งลงพิมพ์​ใน​วารสาร​ New England Journal of Medicine ​มกราคม​ ​ปี​ 2000 ​ชื่อย่อๆ​ว่า​ HOPE Study ​ผู้​เข้า​การศึกษา​เป็น​ผู้​ที่มี​โรคของหลอดเลือด​อยู่​แล้ว​ ​เช่น​ ​หลอดเลือดหัวใจ​ ​หรือ​ ​หลอดเลือดสมอง​ ​(​ไม่​ใช่​คน​ ​แข็งแรงที่​ยัง​ไม่​มี​โรค) ​ประมาณ​ 9,541​คน​ ​ครึ่งหนึ่งไดรับ​ Vitamin E 400 IU ​ต่อวัน​ ​ส่วน​อีกครึ่งหนึ่ง​ได้​รับยาหลอก​ (placebo) ​เมื่อติดตามไปประมาณ​ 4.5 ​ปี​ ​พบว่าอัตราตาย​ ​อัตราการเกิดโรคหัวใจ​ (Heart attack) ​ไม่​แตกต่าง​กัน​เลย​ จึง​สรุปว่า​ Vitamin E ​ไม่​ได้​ประ​โยชน์​ใน​การป้อง​กัน​โอกาสเกิดปัญหา​แทรกซ้อน​จาก​ ​โรคหัวใจเลย ​เมื่อรวมเอาการศึกษา​เกี่ยว​กับ​ Vitamin E ​ทั้ง​หมด​เข้า​ด้วย​กัน​ ​รวมประชากรที่ศึกษามากกว่า​ 50,000 ​คน​ ​ก็​ไม่​พบว่า​ Vitamin E ​จะ​ได้​ประ​โยชน์​เลย​

ที่​เล่ามา​นั้น​เป็น​การศึกษา​ใน​ผู้​ป่วยที่​เกิดโรค​แล้ว​ ​ไม่​ใช่​เป็น​การ​ใช้​ Vitamin E ​เพื่อการป้อง​กัน​โรคหัวใจ​ ​จน​ถึง​ปัจจุบันนี้​ยัง​ไม่​มีการศึกษาดีๆ​เลยว่า​ Vitamin E ​จะ​ช่วย​ “​ป้อง​กัน​” ​ไม่​ให้​คนที่​แข็งแรงดี​เกิดโรค​ ​หัวใจขึ้น