วันพุธ, ตุลาคม ๐๓, ๒๕๕๐

สมัครสมาชิกกิฟฟารีน Giffarine Member

ขายสินค้ากิฟฟารีนดีอย่างไร

- มีโรงงานผลิตสินค้าเอง จึงสามารถซื้อของมีคุณภาพได้ในราคาประหยัด

- สินค้ามีคุณภาพ วิจัยและพัฒนาสินค้าในระดับคุณภาพGMP และ ISO 9001 ภายใต้การควบคุมของแพทย์และเภสัชกรผู้ชำนาญ ในราคาที่เหมาะสม ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ

- สามารถซื้อใช้ได้ประจำ โดยอยู่บนปัจจัยที่จำเป็นต่อชีวิต สินค้ามีจุดขายและข้อดีมากมายให้ซื้อซ้ำ

- สามารถสั่งซื้อกับศูนย์กระจายสินค้ากว่า90ศูนย์ทั่วประเทศจึงสั่งซื้อง่าย

- ค่าสมัคร160บาท ตามอัตราที่บริษัทกำหนด สมัครได้ตั้งแต่อายุ15ปีขึ้นไป


- ซึ่งท่านจะได้ แคตตาล็อกสวยหรูกระดาษแข็งเคลือบมันอย่างดี 2เล่ม มีบัตรสมาชิกบาร์โค้ด และเอกสารอื่นๆ ทั้งเอกสารใบปลิวสินค้า และเอกสารแนะนำธุรกิจของบริษัท พร้อมกระเป๋าแฟ้มสีฟ้า สวยดูดี

- ผลประโยชน์ที่ท่านจะได้ทันทีคือ ส่วนลด25%จากราคาในแคตตาล็อก

- เมื่อท่านซื้อสินค้าก็จะได้รับสิทธิ์คุ้มครองอุบัติเหตุหรือเงินประกันในวงเงิน120,000บาททันที

- เมื่อท่านซื้อสินค้านอกจากจะได้ส่วนลดจากราคาในหน้าแคตตาล็อกแล้ว ยังจะได้เงินปันผลหรือคอมมิชชั่น ตั้งแต่10%-25% จากยอดคะแนนสะสม ที่เกิดจากการซื้อกินซื้อใช้

- การสมัครเพียงมีสำเนาบัตรประชาชน,เงินค่าสมัครจำนวน160บาทและสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร เพื่อจะได้รับค่าเงินปันผลทางธนาคารโอนให้ทุกเดือนเมื่อท่านทำธุรกิจ หรือเพียงซื้อใช้เป็นประจำ

- หากประสงค์จะรับค่าคอมมิชชั่นเป็นธนาณัติหรือรับเงินสดที่ศูนย์กระจายสินค้า ก็สามารถเลือกได้ไม่ต้องส่งสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร

สนใจสมัครเป็นสมาชิก "ทำธุรกิจกิฟฟารีน" สอบถามเพิ่มเติมที่ี่
089-135-0302
085-904-2600
0-2912-0302

วันศุกร์, มิถุนายน ๒๙, ๒๕๕๐

ความนิยมชาเขียว

ในบ้านเราเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากชาที่ใช้ชง น้ำชาบรรจุขวด บรรจุกล่องจากหลากหลายผู้ผลิตแล้วยังมีผลิตภัณฑ์ต่างๆที่นำชาเขียวไปเป็นส่วนผสมทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพไม่เว้นแม้แต่ผลิตภัณฑ์เพื่ออนามัยส่วนตัวของคุณผู้หญิง การใช้ชาเขียวในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเช่นนี้อาจจะทำให้บางคนสนใจอยากรู้จักชาเขียว เพิ่มขึ้น บทความนี้จะบอกเราว่าเครื่องดื่มสีเขียวจาง กลิ่นหอม รสชาติละมุนลิ้นชนิดนี้มีความน่าสนใจสมกับที่ได้รับความนิยมสักเพียงใด
พันธ์ไม้ชา...Camellia sinensis ไม่ว่าชาจะมีต้นกำเนิดมาจากที่ใดก็ตามทุกแหล่งต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าชาที่คนทั่วโลกชื่นชอบกันนั้น ผลิตมาจากพืชที่มีชื่อไพเราะเพราะพริ้งว่า“คาเมลเลีย ไซเนนซิส” (Camellia sinensis) ซึ่งเป็นพืชพันธ์พื้นเมืองที่มีต้นกำเนิดในทิเบต อินเดีย จีน และพม่าคาเมลเลีย ไซเนนซิส เป็นไม้ดอกที่อยู่ในวงศ์เทียซิอี(Theaceae) ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 28 สกุล และแบ่งออกเป็น520 ชนิด คาเมลเลีย ไซเนนซิส หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ต้นชา” (Tea Plant) นั้นเป็นต้นไม้ที่คงความเขียวอยู่ตลอดปี และถ้าไม่มีการเก็บเกี่ยวสามารถสูงได้ถึง 10 เมตร อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ชาที่มีคุณภาพดี จะมีการเก็บเกี่ยวยอดและใบอ่อนสองใบของต้นชาซึ่งการเด็ดปลายยอดอ่อนนั้นส่งผลให้ต้นชามีใบดกหนาและสูงเพียงประมาณ 90-120 เซนติเมตร โดยปกติแล้วการเก็บเกี่ยวจะเริ่มเมื่อต้นชามีอายุได้สี่ปี เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวจะมีการเก็บเกี่ยวใบชาด้วยมือทุกๆ สองสัปดาห์ และในแต่ละปี ต้นชาแต่ละต้นสามารถผลิตใบชาได้ 100 กรัม และสามารถผลิตอีกได้เรื่อยๆจนถึงอายุ 25-50 ปี หรือแม้จนกระทั่งถึง 100 ปี ถ้าได้รับการบำรุง ดูแลใส่ปุ๋ยเป็นอย่างดี การเพาะพันธุ์ชาทำได้โดยการผสมข้ามต้น ทั้งนี้เพราะต้นชาไม่สามารถผสมเกสรในตัวของมันเองได้ การผสมพันธุ์จะสำเร็จได้ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิต เช่น แมลง เป็นพาหะในการนำพาเกสร
ชามีกี่ชนิด ?
ชานั้นแบ่งออกได้เป็นชนิดหลักๆ สามชนิดคือ ชาดำ (black tea) ชาอูหลง (oolong) และชาเขียว(green tea) ชาทุกชนิดต่างก็ได้มาจากใบของพืชชนิดเดียวกัน แต่ที่เรียกชื่อแตกต่างกันนั้นก็เนื่องมาจากกระบวนการผลิต (การหมัก) ใบชาที่แตกต่าง กันไปการผลิตชาดำ ทำได้โดยการนำใบชามาทำให้แห้ง โดยการรีดน้ำที่หล่อเลี้ยงให้ใบชาชุ่มชื้นออกมา เพื่อทำให้ใบชาเหี่ยวและอ่อนลีบโดยใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 16 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงนำใบชาที่แห้งลีบแล้วนั้นมา กลิ้งด้วยลูกกลิ้ง บด และฉีกต่อจากนั้นจึงนำไปหมัก ซึ่งหลังจากกระบวนการหมักทั้งสิ้นแล้วจะได้ใบชาที่แห้งสนิท
การผลิตชาอูหลง ผ่านกระบวนการผลิตด้วย การหมักแต่เพียงครึ่งหนึ่ง จึงทำให้มีรสชาติและสรรพคุณอยู่ระหว่างชาดำและชาเขียว กระบวนการผลิตชาอูหลงเริ่มจากนำใบชามาทำให้แห้งลีบ โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงนำไปกลิ้งด้วยลูกกลิ้งฉีกและหมักด้วยระยะเวลาสั้นๆ ชาอู่หลงเริ่มผลิตเป็นครั้งแรก ในภาคตะวันออกของประเทศจีนและทางภาคเหนือของไต้หวัน
การผลิตชาเขียว ทำโดยนำใบชามาอบไอน้ำ หลังจากนั้นจึงนำไปกลิ้งด้วยลูกกลิ้งและทำให้แห้งอย่างรวดเร็ว ด้วยวิธีการดังกล่าวนี้จึงทำให้ใบชายังคงมีสีเขียวจากกระบวนการผลิตง่ายและน้อยขั้นตอนทำให้ชาเขียวยังคงมีสารในพืชที่มีประโยชน์ ที่เรียกว่า ไฟโตเคมิคัล(phytochemicals) หลงเหลืออยู่มากกว่าชาชนิดอื่นๆอย่างไรก็ตามโลกของชาไม่ได้มีเพียงแค่ชา ดำชาอูหลง หรือชาเขียวเท่านั้น ยังมีชาอีกชนิดหนึ่งที่ยังคงเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก แต่กำลังได้รับความสนใจไป ทั่วโลก ไม่แพ้ชาประเภทอื่น นั่นก็คือ ชาขาว (whitetea) ชาขาวไม่ได้หมายถึงชาใส่นมที่หลายๆ คนชื่นชอบแต่ที่ชื่อว่าชาขาวก็เพราะว่าลักษณะพิเศษของชาชนิดนี้ที่ใบชาและยอดอ่อนถูกนำมาอบไอน้ำ และทำให้แห้งด้วยวิธีง่ายๆ ชาขาวได้มาจากต้นชาเช่นเดียวกัน มีลักษณะใกล้เคียงกับชาเขียว แต่ชาขาวมีปริมาณไม่มากนักเนื่องจากในแต่ละปีจะสามารถเก็บเกี่ยวได้เฉพาะในบางวันเท่านั้น และช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวในแต่ละครั้งก็สั้นมากและต้องทำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ยอดอ่อนของต้นชาเพิ่งจะผลิออกมาใหม่ และยังคงมีเส้นไหมหรือเส้นขนละเอียดสีเงินปกคลุมอยู่การเก็บเกี่ยวโดยเลือกเอาแต่เฉพาะยอดอ่อนที่ยังเต็มไปด้วยขนสีขาวปกคลุมนี่เอง ทำให้ได้ชาที่มีลักษณะพิเศษคือมีสีขาว ซึ่งเป็นที่มาของชื่อชาขาวนั่นเอง
สารประกอบและสรรพคุณ ของชาเขียวจากการศึกษาและรายงานทางการแพทย์มากมาย โดยสถาบันที่เชื่อถือได้ต่างก็ยืนยันว่าชาเขียวมีสรรพคุณมหาศาลในการบำบัดรักษาโรค การดื่มชาเขียวทำให้ร่างกายได้รับสารหลายชนิดที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย เปรียบเทียบกับชาดำและชาอูหลงแล้ว ชาเขียวมีสาร แคเทชิน (Catechin) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มพอลิฟินอลล์ (polyphenols) เป็นปริมาณสูงถึง 15-30 %ของน้ำหนักชา ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสารแคเทชินในชาเขียวมีสรรพคุณเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยทำให้กลุ่มอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ดีหรือ ปกติในร่างกายมีฤทธิ์เป็นกลาง ซึ่งจะว่าไปแล้วสารชนิดนี้นี่เองที่ให้ประโยชน์มากมายแก่ร่างกายจนนับไม่ ถ้วน
กล่าวโดยสรุปแล้ว ในแต่ละถ้วยของชาเขียวนั้นยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายดังต่อไปนี้
สดชื่น...แจ่มใส !!!
เอาตั้งแต่เริ่มแรกกันเลย ชาช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราสดชื่น สะอาดปลอดโปร่งและน่าอยู่ขึ้นมีงานวิจัยชิ้นใหม่ชี้ว่า ถุงชา (tea bag) ช่วยบำบัดโรค“sick-house syndrome” หรือ “มลภาวะภายในอาคารเป็นพิษ” (Indoor Air Pollution) ซึ่งเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากการแพ้อากาศภายในอาคารและบ้านพักอาศัย เช่น สารเคมีจากสีทาบ้าน หรือจากเฟอร์ -นิเจอร์ต่างๆ ภายในบ้าน เนื่องจากสารฟอร์มัลดีไฮด์(formaldehyde) ที่ผสมอยู่ในสารเคมี เพื่อการตกแต่งบ้าน มักจะส่งกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ อาจเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายเกิดอาการแพ้และมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ จากการทดลองพบว่าใบชาดำหรือชาเขียว ทั้งที่ยังใหม่และที่ใช้แล้ว (ผ่านการชงแล้ว) จะดูดสารนี้ไว้แล้วไม่ปลดปล่อยสารกลับเข้าสู่บรรยากาศหลังจากดูดไว้แล้ว และถ้าทิ้งใบชาไว้ในที่อับหรือปิด เช่น ในตู้เก็บถ้วยชามใบชาจะช่วยลดปริมาณของสารฟอร์มัลดีไฮด์ที่มีอยู่ในอากาศอีกด้วย

ชาเขียว

ชาเขียวอุดมไปด้วยประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ที่นอกจากจะให้ความสดชื่น แจ่มใสแล้ว ยังให้สรรพคุณดังต่อไปนี้
กำจัดเนื้อร้าย
บรรดานักวิจัยพบว่า Epigallocatechin (EGC)ในชาเขียวมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการเติบโตหรือการลุกลามของเซลล์มะเร็ง และสามารถทำลายหรือฆ่าเซลล์มะเร็งได้โดยไม่มีผลกระทบกับเซลล์ดีอื่นๆ ในร่างกาย จากการศึกษาวิจัยโดยมหาวิทยาลัยเพอร์ดู สหรัฐอเมริกา พบว่า ถ้าดื่มชาเขียวเป็นปริมาณมากกว่าสี่ถ้วยต่อวัน ร่างกายของเราจะได้รับสาร EGCที่ช่วยชะลอและป้องกันการเติบโตของเซลล์มะเร็งยังมีผลการวิจัยอื่นๆ อีกพบว่า ชาเขียวอาจจะเป็นอาวุธที่ใช้กำจัดบรรดาเนื้อร้ายต่างๆ ให้ราบคาบลงได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งในกระเพาะอาหารมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งในหลอดอาหาร และมะเร็งในตับเป็นต้น
เรื่องของหัวใจ ???
มีการศึกษาว่า การดื่มชาเขียวช่วยลดอัตราการเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) นักวิจัยกล่าวว่าสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวน่าจะช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDL-low density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดี ไม่ให้ปริมาณสูงจนเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดการก่อตัวของก้อนไขมันและส่งผลให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดได้ จากผลการวิจัยอื่นๆ ยังพบอีกว่า ชาเขียวมีสรรพคุณ เทียบเท่ายาแอสไพรินการช่วยยับยั้งการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจวาย และหลอดเลือดสมองพุแห่งวัยหนุ่มสาว
มีการพิสูจน์แล้วว่าสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวสามารถช่วยชะลอความชราและคงความเยาว์วัยได้ (โอ้โฮ้ ! อะไรจะดีปานนั้น) สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวไม่เพียงแต่จะมีประสิทธิภาพสูงมากกว่าวิตามินซีถึง 100 เท่า แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอีอีกถึง 25 เท่าในการทำลายอนุมูลอิสระต้านโรคไขข้ออักเสบ
กล่าวกันว่าชาเขียวช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบ รูห์มาติก (rheumatoid arthritis) ที่มักจะเกิดกับสตรีวัยกลางคน อาการของโรคโดยทั่วไปคือ มีอาการของการอักเสบบวมแดง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อลดระดับคอเลสเทอรอล
ขณะที่กาแฟเพิ่มระดับคอเลสเทอรอล ชาเขียวกลับช่วยลดระดับ คอเลสเทอรอล สารแคเทชินในชาเขียวช่วยทำลายคอเลสเทอรอลและกำจัดปริมาณของคอเรสเทอรอลในลำไส้ แค่นั้นยังไม่พอ ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดีอีกด้วย
ควบคุมน้ำหนัก
ถ้าคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ การจิบชาเขียวสามารถช่วยได้ดีทีเดียว จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์พบว่า ชาเขียวช่วยเร่งให้ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารและไขมันมากขึ้นต่อสู้กลิ่นปากและแบคทีเรียในปาก
การดื่มชาเขียวนอกจากจะทำให้ร่างกายอบอุ่น แล้ว ยังช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อได้ด้วย จากการศึกษโดยมหาวิทยาลัยเพส สหรัฐอเมริกาพบว่า สารสกัดจากชาเขียวมีสรรพคุณในการต่อสู้กับแบคทีเรีย โดยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆอันที่จริงแล้วพบว่าชาเขียวเป็นตัวช่วยยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากต่อสู้กับเชื้อไวรัสในปากโดยกำจักเชื้อแบคทีเรียป้องกันฟันผุ
ชาเขียวมีสรรพคุณช่วยป้องกันฟันผุโดยช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ชื่อ Streptococcus mutans ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดหินปูนที่มาเกาะฟัน รวมทั้งยังช่วยยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปาก
ป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวี
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการศึกษาพบว่า สารประกอบหลักในชาเขียวมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ข้อมูลในวารสารวิทยาภูมิคุ้มกันทางการแพทย์และโรคภูมิแพ้ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายนได้ตีพิมพ์ไว้ว่า สารแคเเทชินในชาเขียวโดยเฉพาะพระเอกตัวเก่ง EGCG มีสรรพคุณป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ชาเขียวเข้มข้นช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวีจับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที่มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเรา ที่เรียกว่า “ทีเซลล์” (T cells) ซึ่งเป็นด่านแรก ที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ ถ้ามีผลการศึกษาเพิ่มเติมยืนยันผลการวิจัยดังกล่าวนี้ นักวิจัยกล่าวว่าจะนำสารในชาเขียวมาใช้ทดลองในการผลิตยาชนิดใหม่เพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อเอชไอวีผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้จากการบริโภค
ชาเขียว
อาจจะมีบางคนเกิดอาการแพ้เนื่องจากการบริโภคชาเขียวซึ่งพบไม่บ่อยนัก ซึ่งถ้าเกิดอาการดังกล่าวให้หยุดบริโภคชาเขียวและไปพบแพทย์โดยทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีอาการแพ้ที่รุนแรง เช่น หายใจติดขัดรู้สึกแน่นเหมือนมีอะไรติดคอ ริมฝีปาก ลิ้น และใบหน้าบวม หรือเป็นลมพิษ นอกจากนี้ ในบางคนที่บริโภคชาเขียวมากเกินไปเป็นระยะเวลานานอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในหลอดอาหาร และอาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยอื่นๆ เกิดขึ้นได้เช่นกัน ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ถ้าเกิดอาการอย่างเช่นอาการเสียดคอและหน้าอก ท้องเสีย เบื่ออาหารมีอาการท้องผูกหรือท้องร่วง มีอาการตกใจ หงุดหงิดง่าย และเป็นกังวล นอนไม่หลับ หัวใจเต้นผิดปกติหรือปวดศีรษะ หรืออาจมีผลข้างเคียงอื่นๆ ได้อีกนอกจากที่กล่าวมาแล้วให้รีบปรึกษาแพทย์ ถ้ามีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าอาจเกิดจากแพ้
นอกจากชาเขียวจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงใน บางคนแล้ว ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ควรบริโภคชาเขียว หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูง ผู้ที่เป็นโรคไต ผู้เป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ (hyperthyroidismเป็นโรคที่เกิดจากการที่ ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนมากเกินไป) ผู้ที่กังวลง่ายหรือมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติ หรือมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ หรือผู้ป่วยที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด เช่น วาร์ฟาริน (warfarin)

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม ๑๐, ๒๕๕๐

“เจ็บแน่นหน้าอก” สัญญาณอันตราย

ทุกวันนี้จะสังเกตได้ว่ามีคนไทยที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล ผ่าตัดหลอดเลือดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งๆที่มีอาการเริ่มแรกแค่เพียงเจ็บแน่นหน้าอก ซึ่งก็เกี่ยวเนื่องมาจากอาการป่วยที่เกี่ยวกับหัวใจ-เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ และถ้าถามว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันหรือ โรคหัวใจขาดเลือดมันร้ายแรงสักขนาดไหนกัน ? ก็ขนาดที่ทำร้ายอเมริกันชนคนสหรัฐที่อยู่ในประเทศที่เจริญรุดหน้ามากทางการแพทย์-ทำให้เกิด หัวใจวายเป็นต้นเหตุทำให้ชาวอเมริกันเสียชีวิตสูงถึง 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตจากสาเหตุต่าง ๆ ทั้งหมดในแต่ละปี

กล้ามเนื้อหัวใจ,หัวใจขาดเลือด,หัวใจตีบ,ผู้สูงอายุ,โรงพยาบาลพญาไท,สุขภาพ,วัยทอง,เจ็บหน้าอกภาวะเจ็บแน่นหน้าอก อาจเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น โรคที่เกิดจากระบบทางเดินหายใจ ทางเดินอาหารกล้ามเนื้อหัวใจหรือหลอดเลือด แต่สาเหตุที่สำคัญ คือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

อาการเจ็บแน่นหน้าอกจากภาวะหัวใจขาดเลือด จะ อาการเจ็บแน่นหน้าอกระหว่างราวนม ลิ้นปี่ คล้ายมีอะไรบีบรัดหรือกดทับ อาจร้าวไปที่คอ กราม แขนซ้ายด้านใน และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เหงื่อออก ตัวเย็น เวียนศีรษะ หน้ามืด เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ ใจสั่น อาการดังกล่าวอาจเกิดนานแค่ไม่กี่วินาที แต่เมื่อเกิดอาการจะต้องหยุดกิจกรรมต่างๆ ทันทีและพักผ่อนชั่วขณะหนึ่ง กล้ามเนื้อหัวใจจะตายในเวลาอันรวดเร็วภายใจ 6 ชั่วโมง เมื่อเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ถ้ากล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นบริเวณกว้างจะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หัวใจวายเฉียบพลันและอาจเสียชีวิตในที่สุด

ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตัน คือ

emo ผู้ชายที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป

emo ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป

emoผู้ที่มีภาวะโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง

emoผู้ที่สูบบุหรี่มีความเครียด

emoผู้ที่ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

emoผู้ที่มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ

หากพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ โอกาสที่จะเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบยิ่งสูงขึ้นตามมาด้วย

แนวทางปฏิบัติเมื่อพบผู้ป่วยหรือญาติเกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก ทำได้ด้วยการมาถึงโรงพยาบาลโดยเร็ว โดยเฉพาะใน 2 ชั่วโมงแรกของการเกิดอาการจะทำให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่รวดเร็วทันเวลา เพื่อจำกัดบริเวณกล้ามเนื้อส่วนที่ตายไปแล้วและช่วยกล้ามเนื้อส่วนที่กำลังจะตายให้กลับคืนสู่สภาพปกติ โดยการเปิดหลอดเลือดที่อุดตันให้เร็วที่สุด

วันจันทร์, เมษายน ๒๓, ๒๕๕๐

ครีเอทีน(Cratine)


ครีเอทีนเป็นสารอาหารที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ ทำหน้าที่เปลี่ยนไปเป็น Phophocreatine ซี่งเป็นตัวประกอบของสารใหิ้พลังงาน มีงานวิจัยในผู้ที่ออกกำลังกายและรับประทานอย่างต่อเนื่องพบว่า สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและกำลังของกล้ามเนื้อได้จริง โดยทานปริมาณ 20 กรัมต่อวัน เพียง 5วันก็พบว่ามีกล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น (เพิ่ม Fat free muscle mass)

ประโยชน์ของ อาหารสุขภาพ

อาหารสุขภาพ ช่วยดำรงส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงของการเกิดโรค สามารถรับ
ประทานได้ในคนปกติ รวมทั้งคนป่วย เพราะอาจลดความเสี่ยงในโรคที่อาจจะเกิดร่วมขึ้น
หรือป้องกันโรคแทรกซ้อนที่จะตามมาหรือทำให้สุขภาพดีขึ้น ได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าผู้ที่
ไม่ได้รับประทาน อาหารสุขภาพทุกชนิดของกิฟฟารีน มีงานวิจัยถึงคุณประโยชน์อย่างชัดเจน
และสามารถแนะนำได้ในหลายโรคด้วยกัน
อาหารสุขภาพที่สามารถแนะนำได้ในโรคหรือภาวะต่างๆ
อาหารสุขภาพ สำหรับทุกคน
-แคลดีแมกซ์
-โคลีนบี
-ลูทีน ซีแซนทีน LZ vit
-ทับทิม
โรคเบาหวาน
-สารสกัดใบบัวบก
-ลูทีนซีแซนทีน(แอลซีวิต LZ Vit)
-โคลีน บี
-สารสกัดองุ่น หรือ เกรปซีอี
-กระเทียม
-น้ำมันปลา
-พริมโรส
อาหารสุขภาพดังกล่าวจะไม่ลดน้ำตาลในเลือด แต่มีประโยชน์ชัดเจนในทางตรงและอ้อม

ต่อโรคเบาหวาน
โรคความดันโลหิตสูง(สูงกว่า 140/90 อาจมีอาการ ปวดหัวหรือไม่ก็ได้)
-น้ำมันปลา
-กระเทียม
-เห็ดหลินจือ
-ทับทิม น้ำหรือเม็ดก็ได้
-โสม
โรคความดันโลหิตต่ำ(ต่ำกว่า 90/60 โดยประมาณ ร่วมกับอาการหน้ามืดง่ายเวียนหัวเมื่อ

ลุกขึ้นยืน)
-เกรปซีอี แม้มีงานวิจัยว่าสารสกัดองุ่นกับวิตามินซี อาจเพิ่มความดันเล็กน้อยแต่ก็ไม่มาก

และไม่แน่นอน โรคความดันต่ำรักษาง่าย คือ ออกกำลังกาย เช่น กระโดดตบมือ วันละ 5-10

นาที โรคนี้จะหายไป
โรคไขมันในเลือดสูง
-น้ำมันปลา
(ลดไตรกลีเซอไรด์เป็นหลัก)
-กระเทียม
(ลดได้ทั้งไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล)
-กลูโคแมนแนน
(ลดได้ทั้งไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล)
โรคมะเร็ง
-เห็ดหลินจือ
มีงานวิจัยใช้ร่วมรักษามะเร็งได้ทุกชนิด จะห้ามถ้ากรณีมีตับอักเสบร่วมด้วย หรือ มีเลือดออก
-ชาเขียว
ยับยั้ง มะเร็งหลอดอาหาร กระเพราะอาหาร ต่อมลูกหมาก เต้านม ช่องปาก และอาจจะลด

มะเร็งปากมดลูก
-กระเทียม
มะเร็งกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่
-ขมิ้น ยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม รังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเม็ด

เลือดขาว มะเร็งละไส้ และอาจลดมะเร็งปากมดลูก ด้วยการยับยั้งไวรัสหูด HPV
-ทับทิม ยับยั้ง เซลล์มะเร็งเต้านม
-ใบบัวบก ยับยั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่
โรคเหน็บชา
-โคลีน บี
บำรุงสมอง และเส้นประสาท
-สไปรูไลน่า เหมาะสำหรับชาแบบหนาๆไม่รู้สึกซึ่งสาเหตุมักมาจากขาดวิตามินบี
-แคลดีแมกซ์ เหมาะสำหรับชาซ่าๆเหมือนเป็นเหน็บ ซึ่งเกิดจากการขาดแคลเซียม หรือ

เลือดไหลเวียนไม่ดี และกรณีนี้อาจจะเพิ่มอาหารเสริมประเภทต้านอนุมูลอิสระ หรือลด

ไขมันในเลือดสูง เช่น สารสกัดจากองุ่น(เกรปซีอี) กระเทียม น้ำมันปลา พริมโรส แปะก๊วย

ทับทิม
โรคเอดส์
ปัจจุบันมีงานวิจัยว่ามีสมุนไพรและอาหารสุขภาพมากมายที่ยับังไวรัสเอดส์ได้ เช่น เห็ด

หลินจือ กระเทียม ขมิ้นชัน ใบบัวบก สไปรูไลน่า
บุคคลทั่วไป และ ผู้สูงอายุ
-โคลีน บี แคลดีแมกซ์
-ลูทีนซีแซนทีน(แอลซีวิต LZ Vit)
-ไฟโตวิท(สารสกัดรวมจาก ผัก)
-สารสกัดองุ่น กระเทียม ขมิ้นชัน น้ำทับทิม แกรนเดอร์ โสม เห็ดหลินจือ สไปรูไลน่า
โรคหัวใจ
-ทับทิม
-ลูทีนซีแซนทีน(แอลซีวิต LZ Vit)
-สารสกัดจากชาเขียว(อีจีซีจี)
-สารสกัดรวมจากผัก(ไฟโตวิท)
อัมพาต อัมพฤกษ์
-โคลีน บี
-สไปรูไลน่า
-ลูทีนซีแซนทีน(แอลซีวิต LZ Vit)
-สารสกัดจากชาเขียว(อีจีซีจี)
-ทับทิม
-สารสกัดรวมจากผัก(ไฟโตวิท)
-แคลดีแมก
เสริมสมรรถภาพทางเพศ
-กวาวเครือขาว(หญิง)แต่ต้องตรวจภายใน และ เต้านมและการทำงานของตับว่าทุกอย่าง

ปกติก่อนเสมอ
-กระเทียม(ทั้งชาย และหญิง)
-โสม(ชาย)
-แปะก๊วย(ชาย)
-น้ำทับทิม(ตำราโบราณในสตรี และในสัตว์ทดลอง เสริมในชาย)
ภูมิแพ้อากาศ หอบ หืด หวัด ไซนัส
-เอคินาเซีย
มีงานวิจัยเรื่องป้องกันหวัด
-กระเทียม
(ช่วยขยายหลอดลม ในหอบหืด)
-โสม (ช่วยขยายหลอดลมใน ถุงลมโป่งพอง COPD มักพบในคนสูบบุหรี่)
ภูมิแพ้ผิวหนัง
-พริมโรส
ปวดข้อ ปวดเข่า
-แคลดีแมก
-น้ำมันปลา ช่วยในโรค เข่าเสื่อม รูมาตอยด์
-พริมโรส ช่วยในโรค เข่าเสื่อม รูมาตอยด์
โลหิตจาง
-สไปรูไลน่า(โลหิตจางจากการขาดเหล็ก ไม่เหมาะในทาลัสซีเมีย รุนแรงที่ต้องได้รับการให้

เลือดเป็นประจำ)
-โคลีน บี (โลหิตจางจากการขาดวิตามิน บี)
-ขมิ้นชัน (ทาลัสซีเมีย)
-สารสกัดจากองุ่น(เกรปซีอี) ช่วย ทาลัสซีเมีย ดีขึ้น
บำรุงไต
-เห็ดหลิดจือ
-สารสกัดจากองุ่น(เกรปซีอี)
-น้ำมันปลา(เหมาะสำหรับไตอักเสบชนิดภูมิต้านทาน lg A)
บำรุงตับ
-โคลีน บี
-ทับทิม
-ขมิ้น(ยับยั้ง มะเร็งตับ)
-พาหะไวรัส ตับอักเสบ บี
-ขมิ้นชัน(เคอคิวมิน ในขมิ้นยับยั้งเซลล์มะเร็งตับ)
-โสม(ป้องกันมะเร็งตับด้วยกลไกยับยั้ง Alfa toxin )
บำรุงตา
-ลูทีนซีแซนทีน(แอลซีวิต LZ Vit) มีงานวิจัยว่าลดความเสี่ยงต้อกระจกและจอตาเสื่อม
-น้ำเบอรี่ มีงานวิจัยว่า ลดความเสี่ยงต้อกระจก และ จอตาเสื่อม
-เกรปซีอี มีวิตามิน เอ อี ช่วยเรื่องตาแห้ง และ เป็นโรค เกร็ดกระดี่ จากขาดวิตามินเอ
เด็ก
-แคลเซียม แคลซีน หรือ แคลดีแมกซ์
-น้ำมันปลา
-โคลีนบี
-เบรนนี่(มี DHA บำรุงสมอง)
-พรีไบโอนี่(มีโอลิโกฟลุตโตส เพิ่มแลคโตแบซิลไล)
-สไปรูไลน่า ในแง่ที่มีสารอาหารมาก
-เม็ดอมมะนาว เอคินาเซีย
สตรีวัยทอง
-กวาวเครือขาว
-แคลดีแมกซ์
-โคลีนบี
-แอลซีวิต
-ขมิ้น
-ทับทิม
-น้ำมันปลา หรือ พริมโรส
-สาหร่ายสไปรูไลน่า
-โสม
เพิ่มความแข็งแรง สดชื่น กระชุ่มกระชวย ภูมิต้านทาน
-โสม
-เห็ดหลินจือ
-น้ำทับทิม
-สไปรูไลน่า
-ไฟโตวิท
นิ่วในถุงน้ำดี
-แนะนำกลูโคแมนแนน
ลดน้ำหนัก
-สารสกัดจากชาเขียว(อีจีซีจี)
-น้ำมันดอกคำฝอย(CLA 900)
-สูตรเร่งรัด โปรตีน(ซเลนเดอรีน โปรตีน) ไฟเบอรีน กลูโคแมนแนน
-มะขามแขก(ถือเป็นยาลดน้ำหนักในทางการแพทย์แผนไทย)

วันศุกร์, มีนาคม ๓๐, ๒๕๕๐

วันเสาร์, มีนาคม ๒๔, ๒๕๕๐

หลอดเลือดหัวใจอุดตัน


สภาวะแรกเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แต่แบบหลังทำให้เกิดสถาวะเสียชีวิตแบบกะทันหัน

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ ๒๗, ๒๕๕๐

กวาวเครือขาว

กวาวเครือขาว ตรากิฟฟารีน (Compound Pueraria Mirifica Capsule)

กวาวเครือขาวเป็นสมุนไพรที่กล่าวได้ว่า เป็นราชินีสมุนไพรไทยโดยแท้ มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี สรรพคุณโดยรวมจะเน้นไปในการทำให้ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะสตรีวัยทองกลับสดชื่น กลับมาเป็นสาว นอกจากนี้ กวาวเครือยังสนับสนุนความเป็นผู้หญิงให้สวยงามขึ้น และบำรุงอวัยวะภายในไปในทางที่ส่งเสริมวัยเจริญพันธุ์

ส่วนประกอบสำคัญ : 1 เม็ด มีกวาวเครือขาว 50 มก., ตรีผลา 105 มก.
(ลูกสมอไทย 35 มก., ลูกสมอพิเภก 35 มก. และลูกมะขามป้อม 35 มก.)
สรรพคุณ : บำรุงร่างกายสตรีผู้สูงอายุให้สดชื่นกลับมาเป็นสาว
วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1-2 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง หลังอาหาร

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ ๐๓, ๒๕๕๐

การดื่มไวน์แดงอาจช่วยชะลอความแก่

นักวิจัยชี้ไวน์แดงช่วยชะลอความแก่
เดลิเมล์ – นักวิจัยสเปนแนะการดื่มไวน์แดงอาจช่วยชะลอความแก่ หลังพบสารเมลาโทนินในผิวองุ่น รวมถึงอาหารอีกหลายชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ ข้าว และเชอร์รี่ สามารถปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้น

ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงแนะนำผู้ที่ต้องการต่อสู้กับการทำร้ายของกาลเวลา ด้วยการเพิ่มสารเมลาโทนินโดยการกินอาหาร เช่น หอมหัวใหญ่ กล้วย ข้าว เชอร์รี่ รวมถึงดื่มไวน์แดงมากขึ้น ตั้งแต่อายุย่างเข้า 30 ปี

เมลาโทนินเป็นสารธรรมชาติที่มีบทบาทสำคัญต่อนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย และเป็นที่นิยมแพร่หลายสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเจ็ตแล็ก หรืออาการอ่อนเพลียจากการเดินทางเป็นเวลานานๆ เนื่องจากร่างกายยังปรับสภาพกับเวลาไม่ได้

นอกจากมีผลต่อนาฬิกาชีวภาพแล้ว งานวิจัยล่าสุดยังพบว่า เมลาโทนินทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการทำลายเซลล์

ทั้งนี้ นักวิจัยจากเครือข่ายวิจัยภาวะสูงวัยของสเปนศึกษาจากหนูที่ถูกตัดต่อทางพันธุกรรมและมีปัญหาแก่ก่อนวัย และพบว่าภาวะชราเริ่มปรากฏครั้งแรกเมื่อหนูอายุ 5 เดือน หรือ 30 ปีสำหรับมนุษย์ โดยเกิดจากการที่ร่างกายมีปริมาณออกซิเจนและไนโตรเจนที่ทำให้เกิดอาการอักเสบและทำลายเซลล์มากขึ้น

จากนั้น นักวิจัยให้หนูทดลองกินเมลาโทนิน ผลปรากฏว่าสารชนิดนี้สามารถยับยั้งกระบวนการชราได้

การวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์ดาริโอ อะกวินา กาสโตรไวโฆ จากมหาวิทยาลัยเกรนาดา สเปน ยังพบว่าการให้หนูกินเมลาโทนินทุกวันตั้งแต่อายุ 5 เดือน ซึ่งเป็นวัยที่ร่างกายของหนูเลิกผลิตสารชนิดนี้แล้วนั้น ช่วยชะลอความแก่ได้ บ่งชี้ว่า หากคนเรากินเมลาโทนินทุกวันตั้งแต่อายุ 30 หรือ 40 ปี อาจชะลอกระบวนการชราได้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี นักวิจัยยอมรับว่า ยังไม่แน่ใจว่าเมลาโทนินจะส่งผลอย่างไรต่อส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เพราะมีความเป็นไปได้ว่าสารชนิดนี้อาจมีอิทธิพลต่อระบบการเจริญพันธุ์ของสตรี โดยผลวิจัยเมื่อไม่นานมานี้พบว่า เมลาโทนินในระดับที่ผกผันตามฤดูกาล มีผลต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของการผสมเทียมในหลอดแก้ว

กระนั้น ศาสตราจารย์อะกวินา กาสโตรไวโฆแนะนำไว้ในรายงานที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสารหลายฉบับ รวมถึงฟรอนเทียร อิน ไบโอไซนส์ แอนด์ ฟรี เรดิคัล รีเสิร์ช ว่าควรบริโภคเมลาโทนินเพิ่ม ด้วยการกินไวน์แดง ผลไม้ ผัก และซีเรียล เพื่อป้องกันโรคภัยที่มาพร้อมวัยที่ล่วงเลย

อนึ่ง เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า ไวน์แดงมีประโยชน์ต่อสุขภาพนานัปการ เช่น งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ที่ระบุว่า การดื่มไวน์แดงวันละแก้วช่วยปกป้องหัวใจ เนื่องจากในผิวและเมล็ดขององุ่นอุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์

นอกจากนั้น ยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่า ไวน์แดงช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด รวมถึงปกป้องโรคเหงือก และช่วยให้หลับง่ายขึ้น

วันอาทิตย์, มกราคม ๑๔, ๒๕๕๐

กินอยู่อย่างไรจึงจะไกลโรคมะเร็ง

จากสถิติการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ของคนไทย ยังสูงเป็นอันดับสาม รองจากโรคหัวใจ และอุบัติเหตุติดต่อกันหลายปี และมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนาน ที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์มากกว่าร้อยละ 80 เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะลุกลาม เกินกว่าจะรักษาให้หายขาดหรือรักษาได้ กลุ่มนี้ส่วนมากจะเสียชีวิต ภายในหนึ่งปี หลังการวินิจฉัยเกือบทั้งหมดจะเสียชีวิตภายใจห้าปี ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีอาการที่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้น เช่น ความปวด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ วิตกกังวล ซึมเศร้า น้ำหนักลด หายใจลำบาก บวมตามแขนขา มีน้ำในช่องท้อง หรือช่องปอด เป็นต้น

การป้องกันโรคมะเร็งในขั้นแรกคือ การป้องกันปฐมภูมิ โดยการหลีกเลี่ยงต่อการได้รับสารก่อมะเร็งหรือทำให้ร่างกาย มีภูมิคุ้มกันต่อการเกิดโรคมะเร็ง กำจัดสาเหตุของมะเร็ง ที่เกิดจากอาชีพและสิ่งแวดล้อม

ปัจจัยต่างๆ ที่อาจให้เกิดมะเร็งได้แก่

บุหรี่ เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคปอด มะเร็งปอดและคอ
อาหาร เครื่องดื่ม เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง โดยรวมได้แก่ แอลกอฮอล์ เกลือ อาหารเค็ม เนื้อแดง อาหารปิ้ง ย่าง เผา ไขมันสัตว์ สารกันบูด สารเจือปนในอาหารโรคอ้วน เป็นต้น ถ้าจำแนกโดยละเอียดจะพบ
  • อาหารเค็ม ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะ
  • อาหารไขมันสูง กากน้อยแอลกอฮอล์ ปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน เป็นต้น
เนื้อสัตว์ แอลกอฮอล์ ปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่
บุหรี่ หมาก แอลกอฮอล์ ปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งปาก
ไวรัสบี อะฟลาท็อกซิน แอลกอฮอล์ ปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งตับ
การร่วมเพศบ่อยตั้งแต่อายุยังน้อย เปลี่ยนคู่นอนหลายคน เสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก
สตรีที่ไม่มีลูกหรือมีลูกคนแรกอายุมาก เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม

มะเร็งที่เกิดจากอาชีพและสิ่งแวดล้อม ผู้ที่ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับ

สารแอสเบสโตร จะเป็นมะเร็งปอดได้ง่าย ยิ่งสูบบุหรี่ ด้วยยิ่งเสี่ยงสูง นอกจากนั้นอาจก่อให้เกิดมะเร็ง ของระบบน้ำเหลืองและไขกระดูกได้
สารไวนิลคลอไรด์ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมพลาสติกที่ใช้ สารไวนิลคลอไรด์ จะเป็นมะเร็งของตับสมองและปอดได้ง่าย โดยการหายใจ และผ่านเข้าทางผิวหนัง

สารที่พบในสี เช่น
  • เบนซิดีน เสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
  • อาร์ซีนิค เสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง, ปอด
  • เบนซีน เสี่ยงต่อมะเร็งระบบเลือด, น้ำเหลือง

ขี้เลื่อย เสี่ยงต่อมะเร็งทางเดินหายใจ
ยาคุมกำเนิด ถ้าใช้นานๆ จะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านมได้

เชื้อโรคหลายชนิดจัดได้ว่าเป็นสารก่อมะเร็งเช่นเดียวกัน ได้แก่

ไวรัสตับอักเสบบี เสี่ยงต่อมะเร็งตับ
Ebtein Barr Virus เสี่ยงต่อมะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
Human Papiloma Virus เสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก
ติดเชื้อไวรัสโรคเอดส์ เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดเลือด (Kapoci's Sarcoma) มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Non-hodgekin Lymphoma) มะเร็งปากมดลูก
พยาธิตัวสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศไทย ได้แก่ พยาธิใบไม้ในตับ ซึ่งมีชุกชุมในภาคอีสาน แทรกซึมอยู่ในก้อยปลาดิบ เป็นพยาธิที่ทำให้ก่ออัตราเสี่ยงต่อมะเร็งตับ

ส่วนด้านการโภชนาการ อันมีส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกาย มีภูมิคุ้มกันต่อการเกิดมะเร็ง ท่านวิทยากรได้ให้ความรู้ ในงานอบรมด้านสุขภาพอนามัยสำหรับประชาชนครั้งนี้ไว้ว่า หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารซ้ำซาก เลือกอาหารให้หลากหลายเข้าไว้ ควรรับประทานอาหารจำพวก พืช ผัก ผลไม้ ข้าว หรืออาหารที่มีเส้นใย เป็นประจำ รับประทานอาหารให้ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สามารถป้องกันโรคมะเร็ง บางชนิดได้จากอาหารเหล่านี้ จะเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ ใยอาหารและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งมีผล การลดอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

กลุ่มของสารอาหารที่ช่วยลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งด้วยกัน 5 กลุ่มคือ

  1. เบต้า-แคโรทีน พบในผักและผลไม้สีเขียว หรือเหลืองเข้ม ได้แก่ มะม่วง ผักขม แครอท บรอคโคลี่ และมะเขือเทศ
  2. วิตามิน พบในพวกผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ได้แก่ สตรอเบอรี่ แตงโม ส้ม ชะเอม ฯลฯ
  3. ซิลิเนียม อยู่ในจมูกข้าว รำข้า ปลาทูน่า หัวหอม กระเทียมและเห็ด
  4. ใยอาหาร มีมากในผัก ผลไม้และพวกเมล็ดธัญพืชต่างๆ
  5. คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พบในขนมปังธัญพืชและถั่วต่างๆ

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง, อาหารที่มีสารก่อมะเร็ง, อาหารมีสิ่งแปลกปลอม เช่น อะฟลาท็อกซิน ยาฆ่าแมลง อาหารที่มีไนเตรต ไนเตรตผสมอยู่ หลีกเลี่ยง อาหารที่เก็บไว้นาน เพราะอาจมีการปนเปื้อนเชื้อราและพิษจากเชื้อเหล่านั้นได้ ลด อาหารเค็ม เช่น เกลือ ซอสทั้งหลาย อาหารหมักดอง อาหารกระป๋องที่ใส่เกลือมาก อาหารประเภทเนื้อปรุง เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก หมูยอ แหนม ซึ่งอาจมีสารเจือปนอยู่ การปรุงอาหารโดยเฉพาะเนื้อสัตว์หรือปลา โดยสัมผัสโดยตรง กับเปลวไฟ เช่น ปิ้ง ย่าง เนื้อรมควัน อย่ารับประทานบ่อยๆ

ส่วนการวินิจฉัยโรคมะเร็งได้ในระยะเริ่มต้นคือ การเอาใจใส่ระมัดระวังเกี่ยวกับอาหาร หรืออาการแสดง ถ้าวินิจฉัยได้ว่าเป็นอาการของโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้น จะช่วยให้ผลการรักษาและการมีชีวิตรอดของผู้ป่วย ได้ดีกว่าปล่อยให้เป็นมานานแล้ว ซึ่งอาจจะทำได้โดย ประชาชนรู้จักสังเกต และตรวจร่างกายตนเองอย่างง่ายๆ เช่น สังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่อาจจะเป็นอาการเตือนของโรคมะเร็ง เช่น การเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะผิดปกติ หรือเปลี่ยนไปจากเดิม กลืนอาหารลำบาก แน่นท้อง เสียงแหบ ไอเรื้อรัง มีเลือดหรือตกขาวผิดปกติออกทางช่องคลอด มีแผลเรื้อรัง มีการเปลี่ยนแปลงของหูด หรือไฝตามร่างกาย มีก้อนที่เต้านม หรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย หูอื้อ เลือดกำเดาไหล

มะเร็งร้ายยังเป็นภัยต่อประชาชนชาวไทยอยู่อีกนาน และคงจะเบียดเบียนให้เกิดโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น เพราะทุกวันนี้สิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษได้เจือปนอยู่ทั่วไป ทั้งในอาหาร ในน้ำ ในอากาศ ในอาชีพทุกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นกสิกร ก็ต้องสัมผัสกับปุ๋ย โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ การตรวจสุขภาพประจำปีการ การสังเกตอาการและตรวจกรองมะเร็งของแต่ละอวัยวะทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี ดูจะมีความจำเป็นเพิ่มมากขึ้น สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ และรักที่จะป้องกันตนเองจากโรคมะเร็ง

วันเสาร์, มกราคม ๐๖, ๒๕๕๐

รู้จักโรคหลอดเลือดสมองแตก

เวลา 03.00 น. ของวันที่ 3 มี.ค. 47 คุณลินดา ค้าธัญเจริญ เข้ารับการรักษาอาการเส้นเลือดในสมองแตกที่ห้องไอซียู ชั้น 4 รพ.กรุงเทพ เพื่อเจาะเลือดในสมองออกโดยด่วน จากการเอ็กซเรย์สมองพบว่าเส้นเลือดในสมองแตกและมีก้อนเลือดขนาด 5 ซม.กดทับแกนสมอง ทีมแพทย์ศูนย์สมองโรงพยาบาลกรุงเทพ แถลงหลังแพทย์ได้ผ่าตัดนำก้อนเลือดใหญ่ขนาด 5 เซนติเมตร ที่กดทับแกนสมองเพื่อช่วยชีวิตเสร็จสิ้นลง ว่าขณะนี้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น มีการตอบสนองดีขึ้น แต่ยังต้องอยู่ในห้องไอซียูเพื่อพักฟื้นและดูอาการอย่างใกล้ชิด ยังต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่สามารถหายใจได้ด้วยตัวเองพร้อมกับใช้เครื่องหายใจ ม่านตาเล็กลง คาดว่าแนวโน้มของการตอบสนองจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แต่ขณะนี้ยังต้องระวังการติดเชื้อจากการผ่าตัดและเชื้อจากภายนอก หรืออาจจะมาจากบุคคลที่เข้าไปเยี่ยม รวมไปถึงอาการของสมองบวม ซึ่งควรจะระวังในเวลา 72 ชั่วโมง

แพทย์คาดว่าเส้นเลือดในสมองแตกก่อนที่จะล้ม แต่ไม่มีโอกาสที่ลินดาจะเป็นอัมพาตเพราะกล้ามเนื้อซีกซ้ายที่ไม่ตอบสนองในครั้งแรก ขณะนี้เริ่มขยับได้ แต่ยังอ่อนแรง เนื่องจากก้อนเลือดที่ออกจากสมองได้เข้าไปทำลายเนื้อสมอง ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าสมองส่วนไหนเสียหาย ยังคงรักษาและเตรียมพร้อมให้สมองส่วนที่ดีฟื้นตัวเร็วที่สุด ขณะนี้คงยังใช้ท่อดูดเลือดจากแผลที่เกิดจากการผ่าตัดออกมาด้วย ซึ่งจำนวนเลือดที่พบถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ หลังจากฟื้นตัวคงจะต้องกายภาพบำบัดเพื่อให้แขนขาด้านซ้ายที่อ่อนแรงและกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่เหมือนปกติ แต่ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิตแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม อาการล่าสุดของ "ลินดา ค้าธัญเจริญ" ขณะนี้มีอาการดีขึ้น มีการตอบสนองมากขึ้น ไม่มีอาการแทรกซ้อน รับรู้เข้าใจโต้ตอบทำตามคำตอบได้ เมื่อถามว่าสู้ไหม "ลินดา" สามารถยกมือชูสองนิ้วขวาได้ เป็นสัญญาณบ่งบอกที่ดีลดความกังวลใจลง คณะแพทย์แถลงว่าขณะนี้คุมอาการได้หมดแล้ว แต่สิ่งที่กังวลที่สุดคือการติดเชื้อและอาการสมองบวม ข้อมูลบางประการเกี่ยวกับโรคเส้นเลือดในสมองแตก

โรคหลอดเลือดสมอง โดยทั่วไปมักเรียกว่า โรคอัมพฤกษ์ หรือ อัมพาต โรคนี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน และโรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันอาจเกิดจากการตีบตันที่หลอดเลือดสมองเอง หรือเกิดจากการมีลิ่มเลือดหลุดจากที่อื่น เช่น จากหัวใจและจากหลอดเลือดที่บริเวณคอมาอุดตันหลอดเลือดสมอง ทำให้สมองบางส่วนขาดเลือด ส่วนโรคหลอดเลือดสมองแตกเกิดจากการแตกของหลอดเลือดสมอง ทำให้มีเลือดออกมาคั่ง และทำลายเนื้อสมองในบริเวณนั้น นอกจากนี้อาจกดเบียดสมองส่วนที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้สมองส่วนนั้นทำหน้าทั่ไม่ได้ตามปกติ เกิดอาการอัมพฤกษ์หรืออัมพาต

สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน ได้แก่ หลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis) เกิดจากการเสื่อมของผนังหลอดเลือด มีไขมัน และหินปูนมาจับ พบได้ทั้งในหลอดเลือดสมองเอง และหลอดเลือดใหญ่ที่คอ มักพบในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่สูบบุหรี่ บางคนเกิดจากโรคหัวใจที่มีลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันหลอดเลือดสมอง เช่น โรคลิ่มหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ส่วนน้อยเกิดจากหลอดเลือดสมองอักเสบและโรคเลือดบางชนิด

ส่วนสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองแตกที่สำคัญที่สุด คือ โรคความดันโลหิตสูง บางรายอาจเกิดจากหลอดเลือดสมองผิดปกติแต่กำเนิด เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย ทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานทุกระบบ เช่น การเคลื่อนไหว ระบบประสาทสัมผัสต่างๆเป็นต้นสมองในตำแหน่งต่างๆ ทำหน้าที่แตกต่างกันไป ดังนั้นอาการของโรคหลอดเลือดสมองจึงเกิดขึ้นได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดโรคหากสมองส่วนใดสูญเสียการทำงานไป ก็จะเกิดอาการผิดปกติของร่างกายในระบบที่สมองบริเวณนั้นควบคุมอยู่ อาการมักเกิดอย่างรวดเร็วหรือทันทีทันใด เนื่องจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยงทันที แต่ในบางครังอาจมีอาการแบบเป็นๆ หายๆ หรือค่อยๆเป็นมากขึ้นเรื่อยๆในระยะเวลาอันสั้น

อาการของโรคหลอดเลือดสมอง

อาการที่พบบ่อยมีหลายอย่าง ได้แก่ อ่อนแรงของร่างกายครึ่งซีก ชาครึ่งซีก เวียนศรีษะ ร่วมกับเดินเซ ตามัว หรือมองเห็นภาพซ้อน พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง ปวดศรีษะ อาเจียน ซึม ไม่รู้สึกตัว ที่สำคัญคืออาการดังกล่าวข้างต้น หากเกิดขึ้นและหายไปในเวลาอันรวดเร็ว ถือเป็นอาการเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง ท่านควรไปพบแพทย์ด่วน พึงระลึกไว้เสมอว่าเมื่อมีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีอย่ามัวรอดูอาการ

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน การสูบบุหรี่ โรคหัวใจ สูงอายุ แอลกอฮอล์ ไขมันในเลือดสูง และขาดการออกกำลังกาย ดังนั้นการป้องกันโรคนี้จึงควรตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้ง งดสูบบุหรี่ ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมรัดับน้ำตาลในเลือด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดอาหารรสเค็มและไขมันสูง และควรได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์เป็นประจำ

ศึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกับ น้ำมันปลา

วันศุกร์, มกราคม ๐๕, ๒๕๕๐

อัมพาต​ ​จาก​โรคของหลอดเลือดสมอง

อุบัติการณ์การ การเกิดอัมพาตในต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา ในยุโรป พบว่าอัตราการเกิด อัมพาต นั้น พบผู้ป่วยในอัตราที่สูง ราว 500- 1,000 คนต่อประชากร 1 แสนคน สำหรับสถิติในประเทศไทย ทางสาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิรราชพยาบาล ได้ศึกษาไว้ พบว่า อัตราป่วย ของผู้ป่วยอัมพาต อยู่ในอัตราสูงถึง 690 ต่อประชากร 1 แสนคน
ในสหรัฐอเมริกาและประเทศที่เจริญแล้ว อัมพาตเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญเป็นอันดับ 3 ของประชากร รองลงมาจาก โรคหัวใจ โรคมะเร็ง สำหรับประชากรไทย ผู้ป่วยอัมพาตทั่ว ๆ ไปจะมีอัตราตาย 20-25% ของผู้ป่วยทั้งหมด ดังนั้นในปีหนึ่ง ๆ ประชากรไทย จะมีผู้ป่วยเป็นอัมพาตเพิ่มขึ้น ปีละราว 1 แสนคนทุกปี จะเห็นได้ว่า ปัญหาอัมพาต จึงเป็นปัญหาใหญ่ และเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของประเทศ
ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิพนธ์ พวงวรินทร์ ได้รวบรวมสาเหตุของโรคอัมพาตที่เกิดจาก "โรคหลอดเลือดสมอง" ไว้ 5 ประการ คือ
หลอดเลือดสมองตีบ (cerebral thrombosis) ภาวะเช่นนี้ เกิดขึ้นเนื่องจาก หลอดเลือด มีการแข็งตัว ที่เรียกว่า atherosclerosis จึงมีผลให้เลือดไปยังสมองได้น้อย และมีการตัน ในหลอดเลือดนั่นเอง
การอุดตันในหลอดเลือด (cerebral embolism) สาเหตุเพราะมีก้อนเลือดหลุด มาจากที่ต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น จากหัวใจแล้วมาอุดหลอดเลือดในสมอง จึงทำให้สมองขาดเลือดดังกล่าวแล้ว
หลอดเลือดสมองแตก (cerebral haemorrhage) เกิดจากการที่หลอดเลือดใน สมองแข็ง แล้วมีการแตกของหลอดเลือด จึงทำให้เลือดออกมาในเนื้อสมองหรือที่ฐานสมอง ยังผลให้ สมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง
การบีบตัวของหลอดเลือดในสมอง (spasm of artery) ภาวะนี้ เกิดจากการที่ มีการระคายเคือง ของหลอดเลือดในสมอง จึงทำให้หลอดเลือดในสมอง มีการหดตัว หรือบีบตัวอย่างรุนแรง ยังผลให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนปลายไม่ได้ จึงเกิดอัมพาตขึ้น
การอักเสบของหลอดเลือด (arteritis) เกิดจากภาวะที่มีการอักเสบในสมอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ วัณโรคของสมอง และมีผลทำให้หลอดเลือดของสมอง อักเสบตามมา ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ คำถามที่ประชาชนชอบถามก็คือ "อยู่ดี ๆ ทำจึงเป็นอัมพาต" แพทย์หลายคนก็มักจะตอบว่า " ที่จริงแล้ว ท่านคงมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ที่อาจทำให้ท่านเป็นอัมพาต แอบแฝงอยู่แล้ว แต่ท่านไม่ทราบ ไม่หลีกเลี่ยง ปัจจัยเสี่ยง และไม่รักษาโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ดีจึงเกิดอัมพาต
ปัจจัยเสี่ยง ที่สำคัญ ที่ทำให้ผู้ป่วย เป็นอัมพาต และเป็นสิ่งที่เรา จำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยง และให้การรักษา หรือป้องกัน ได้แก่
โรคความดันโลหิตสูง ภาวะนี้พบว่าเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว และทำให้เกิด โรคอัมพาตได้มาก ทั้งชนิดหลอดเลือดแตก และหลอดเลือดตีบ ภาวะโรคความดันโลหิตสูงนี้ จะทำให้ผู้ป่วย มีโอกาสเป็นอัมพาต มากกว่าคนปกติ ถึง 3- 17 เท่า แล้วแต่อายุ และความรุนแรง ของความดันโลหิต
โรคเบาหวาน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานเป็นเวลานาน ๆโดยมิได้รับการรักษา หรือควบคุมระดับ น้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ จะมีอัตราเสี่ยง ในการเกิดอัมพาต ชนิดหลอดเลือดตีบได้สูง เพราะโรคเบาหวาน ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง ได้ง่าย โดยจะมีหลอดเลือดแข็งทั่วร่างกาย และถ้าเป็นที่หลอดเลือดของสมองแข็ง จะเกิดอัมพาตขึ้น อัตราการเสี่ยง ของผู้ป่วย ที่เป็นโรค เบาหวาน จะมีโอกาสเกิดอัมพาตได้สูงกว่าผู้ป่วยปกติถึง 2- 4 เท่า
ภาวะที่มีไขมันสูงในหลอดเลือด ทั้งชนิด chelesterol, triglyceride, ซึ่งเป็นไขมัน ที่ไปเกาะ ผนังหลอดเลือด และจะทำให้ผนังหลอดเลือด แข็ง อันจะมีผลตามมา ทำให้เกิดอัมพาตได้ง่าย
การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่นั้นจะเป็นปัจจัยเสริมทำให้ผู้ป่วยเกิดอัมพาตได้ง่าย โดยที่ผู้สูบบุหรี่ จะมีโอกาสเป็นอัมพาต ได้มากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 3 เท่า
อื่น ๆ ปัจจัยอื่นที่จะส่งเสริมให้เป็นอัมพาตได้แก่
Obesity หรือความอ้วนโรคอ้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริม ให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง และทำให้ผู้ป่วย มีไขมัน ในหลอดเลือดสูง อันจะมีโอกาสเกิด อัมพาต ได้มากกว่าคนธรรมดา
ภาวะเครียด การที่ผู้ป่วยเครียดมากเกินไปจะยังผลให้เกิดความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติ และจะทำให้เกิดอัมพาตตามมาได้
ภาวะขาดการออกกำลังกาย การที่ไม่ยอมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นปัจจัย ทำให้ผู้ป่วยอ้วน และเกิดภาวะเครียด ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสริม ต่อการเกิดอัมพาต ยิ่งกว่านั้น ยังพบว่า การออกกำลังกาย ของร่างกาย อย่างสม่ำเสมอ อาจมีผล ให้ลดระดับของไขมัน ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และเพิ่มไขมัน ที่มีประโยชน์ กล่าวคือ ทำให้หลอดเลือดไม่แข็งตัว ได้อีกด้วยท่านที่ทราบว่าตนเองมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ สมควรที่จะเร่งหลีกเลี่ยง และรักษา เสียแต่เนิ่น ๆ และอย่างต่อเนื่องเพื่อท่านจะได้ปราศจาก อัมพาต และมีกำลังที่จะต่อสู้ชีวิตในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ หากท่านไม่แน่ใจ ขอให้สละเวลาพบแพทย์เพื่อปรึกษาและตรวจสุขภาพเสียให้แน่ชัด เพื่อประหยัด และมั่นใจว่าจะไม่เจ็บป่วยด้วยโรคนี้
ศึกษาน้ำมันปลา